เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564

เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาส 3ปี 2564 ชูกลยุทธ์ ESG ดันพลังงานทดแทนสู้ต้นทุนพลังงานพุ่ง และเงินเฟ้อ คว้าโอกาสหลังเปิดประเทศด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลกสร้างการเติบโตระยะยาว
เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ธุรกิจยังมั่นคง แม้กำไรลดลงจากการปิดเมืองทั้งภูมิภาค ต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบที่สูงขึ้นตามตลาดโลกประกาศเดินหน้าสร้างการเติบโตระยะยาวด้วยกลยุทธ์ ESG (Environmental Social and Governance) มุ่งบริหารความเสี่ยงต้นทุนวัตถุดิบและเชื้อเพลิงเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนทั้งพลังงานชีวมวลและแสงอาทิตย์
รวมถึงเตรียมความพร้อมรับมือภาวะเงินเฟ้อที่อาจรุนแรงขึ้นคาดหลังเปิดประเทศตลาดจะคึกคัก เศรษฐกิจโลกฟื้น เตรียมคว้าโอกาสด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและสุขอนามัยที่ดี อาทิ SCG Green Choice และ CPAC Green Solution พร้อมรุกธุรกิจผลิตวัตถุดิบสำหรับผลิตพลาสติกชีวภาพ เดินหน้าช่วยสังคมต่อเนื่องทั้งกระจายวัคซีนสู่ภาคใต้ด้วยขนส่งควบคุมความเย็นช่วยน้ำท่วมและสร้างอาชีพ

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี
รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2564 มีรายได้จากการขาย 131,825 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 9,066 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 47 จากไตรมาสก่อนจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในประเทศเมียนมา และกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนเป็นมูลค่ายุติธรรม จะทำให้มีกำไรสำหรับงวด 6,817 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 60 จากไตรมาสก่อน
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติ ลดลงร้อยละ 11 จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ระลอกใหม่ และการปิดเมืองทั้งภูมิภาค ทั้งนี้หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ และกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนดังกล่าวจะมีกำไรสำหรับงวดลดลงร้อยละ 30
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 387,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 38,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการ HVA (High Value Added Product & Services- HVA) ในช่วง 9 เดือนของปี 2564 อยู่ที่ 133,504 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution คิดเป็นร้อยละ 15 และ 5 ของรายได้จากการขายรวม
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ใน 9 เดือนของปี 2564 ทั้งสิ้น 174,487 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีมูลค่า 850,339 ล้านบาท โดยร้อยละ 44 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนของปี 2564 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ – การเงินและการลงทุน เอสซีจี
ธุรกิจเคมิคอลส์ ไตรมาสที่ 3 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 60,060 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 59 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายสินค้าและปริมาณขายที่สูงขึ้น มีกำไรสำหรับงวด 5,210 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 50 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าที่ลดลง
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564 ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย 172,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 56 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 24,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 107 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากส่วนต่างราคาสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ไตรมาสที่ 3 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 44,059 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ นอกอาเซียนและความต้องการสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
โดยมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,199 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 47 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนสาเหตุหลักจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ และการปิดเมืองทั้งภูมิภาค ทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์โรงงานซีเมนต์ในประเทศเมียนมา จะมีขาดทุนสำหรับงวด 2,400 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 136,660 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 6,476 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ดังกล่าว จะมีกำไรสำหรับงวด 2,877 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 57 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เอสซีจีพี ในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 31,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจแบบร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership หรือ M&P) และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดในอินโดนีเซีย ส่งผลให้ความต้องการสินค้าขยายตัว
โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และอิเล็คทรอนิกส์ มีกำไรสำหรับงวด 1,781 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2564 เอสซีจีพี มีรายได้จากการขาย 89,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการซื้อในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารเครื่องดื่ม
และสินค้าเพื่อสุขอนามัยที่ยังสามารถเติบโตได้ประกอบกับการขยายธุรกิจทั้งแบบ Organic Expansion และ M&P ทั้งนี้การที่บริษัทมีฐานการผลิตในหลายประเทศ และผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้าในหลายอุตสาหกรรม ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกได้ดี
รุ่งโรจน์กล่าวว่า “สถานะทางการเงินของเอสซีจียังแข็งแกร่งแม้ว่ากำไรลดลง จากการปิดประเทศทั้งภูมิภาคต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบสูงขึ้นเอสซีจี ได้เร่งดำเนินกลยุทธ์ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนพลังงาน และวัตถุดิบที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอีก
รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคตโดยเร่งบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการทำสัญญาซื้อขายพลังงานล่วงหน้าการเลือกใช้วัตถุดิบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน (Alternative Energy)
ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564มีสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ RDF เท่ากับร้อยละ 12 (โดยเฉพาะในธุรกิจซีเมนต์ มีการใช้พลังงานชีวมวลและเชื้อเพลิง RDF ถึงร้อยละ 25) และพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เท่ากับร้อยละ 3 หรือ 77,744 เมกะวัตต์-ชั่วโมง
อย่างไรก็ดีเชื่อว่าภายหลังการเปิดประเทศ กำลังการซื้อจะเริ่มกลับมาเพราะภาคธุรกิจและประชาชนจะสามารถปรับตัวในการอยู่กับร่วมโควิด 19 ได้เช่นเดียวกับหลายประเทศนับเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก ซึ่งเอสซีจี ได้เตรียมคว้าโอกาสสร้างการเติบโตระยะยาวด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและสุขอนามัย
อาทิผลิตภัณฑ์ SCG Green Choice ที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยประหยัดพลังงานและส่งเสริมสุขอนามัยที่ดี
CPAC Green Solution ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มความรวดเร็ว ลดปัญหาฝุ่น ของเสียในงานก่อสร้างนอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าสู่ธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ธุรกิจผลิตวัตถุดิบสำหรับผลิตพลาสติกชีวภาพเป็นต้น
ธุรกิจเคมิคอลส์ มุ่งสู่การเป็น “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” โดยดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงานและเร่งขยายธุรกิจด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ตลาดมีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ลงนาม MOU กับ Braskem เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตไบโอ-เอทิลีนในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกชีวภาพ
ส่วนความคืบหน้าการลงนามในสัญญาซื้อหุ้นบริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste) ผู้นำด้านพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโปรตุเกสคาดว่าจะสามารถโอนหุ้นได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
ขณะเดียวกันโรงงานสาธิตกระบวนการรีไซเคิลทางเคมี (Advanced Recycling) ได้รับการรับรองมาตรฐาน “ISCC PLUS” โดย International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) และนิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล ในเอสซีจี เคมิคอลส์ ได้รับการรับรองเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-World Class ซึ่งเป็นรางวัลระดับสูงสุด จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) 3 ปีต่อเนื่องเป็นแห่งแรกในประเทศไทย
สำหรับโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามคืบหน้าตามแผนร้อยละ 87 โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีแรกของปี 2566
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์มีมติอนุมัติการจัดตั้งวงเงินหุ้นกู้รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 100,000ล้านบาท ซึ่งเป็นการออกหุ้นกู้ของเอสซีจี เคมิคอลส์ ครั้งแรก โดยได้ยื่นขออนุญาตออกและเสนอขายหุ้นกู้แบบโครงการ Medium Term Note (MTN) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เรียบร้อยแล้ว
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมุ่งจัดหาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยรับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จาก Solar Farm และ Solar Floating รวมถึงการนำลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์กลับมาใช้ใหม่
ขณะเดียวกันได้พัฒนาสินค้าบริการและโซลูชันตอบโจทย์การก่อสร้างและการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนอาทิ CPAC Green Solutionที่มีนวัตกรรมหลักได้แก่ CPAC BIM ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้บริหารงานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดการสูญเสียเวลาและทรัพยากรผลิตภัณฑ์กลุ่ม SCG Green Choice
เช่นปูนงานโครงสร้างเอสซีจีสูตรไฮบริดที่ลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ระบบหลังคา SCG Solar Roof ที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับเจ้าของบ้านด้วยการใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและ SCG Bi-Ionization Air Purifier ระบบไอออนกำจัด เชื้อโรค ที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในอากาศ นอกจากนี้ธุรกิจได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อติดต่อและบริหารการค้าขายกับคู่ค้าและลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เอสซีจีพีมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและ Mega Trends ของเศรษฐกิจไทยและอาเซียน การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน
อาทิ เทคโนโลยีเครื่องจักร (Mechanization) ระบบอัตโนมัติ(Automation)ระบบปัญญาประดิษฐ์(AI: Artificial Intelligence) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ คาดการณ์
และเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตรวมถึงคุณภาพของสินค้า ให้กับภาคอุตสาหกรรมควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตขณะเดียวกันยังคงมุ่งขยายธุรกิจด้วยการเพิ่มกำลังการผลิต (Organic Expansion)
และร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจให้ครอบคลุมธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน รองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์
ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับการช่วยเหลือสังคมด้านวิกฤตโควิด 19 เอสซีจีได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สยามยามาโตะ และคูโบต้า เร่งกระจายวัคซีนไฟเซอร์เชิงรุก 310,000 โดส ใน 4 จังหวัดภาคใต้ที่มีการแพร่ระบาดสูง ได้แก่ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ด้วยระบบควบคุมความเย็นของรถขนส่งบริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ เมเนจเม้นท์ จำกัด
ด้านการบรรเทาความเดือนร้อนจากน้ำท่วม เอสซีจีเปิดเหมืองดินในจังหวัดสระบุรี เพื่อรองรับน้ำท่วมและยังสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และมูลนิธิเอสซีจีได้มอบสุขากระดาษ SCGP จำนวน 7,000 ชุด และถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัยทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และชุมชนกว่า 400 ราย ภายใต้โครงการ “พลังชุมชน”ให้พัฒนาอาชีพ แปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้า เพิ่มช่องทางการขาย และสร้างรายได้เพิ่มในวิกฤตโควิด 19 ที่ผ่านมา”
There are no comments at the moment, do you want to add one?
Write a comment